วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

โลกใบเล็กของหลวงพ่อ ดอน คามิลโล โดย โจวานนี กวาเรสกิ(แปลและเรียบเรียงโดย นพดล เวชสวัสดิ์ )

โลกใบเล็กของหลวงพ่อ ดอน คามิลโล เป็นเรื่อง ของความยึดมั่นในอุดมการณ์ สองฝั่ง ระหว่างหลวงพ่อดอนคามิลโลซึ่งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า กับ นายกเทศมนตรีคอมมิวนิสต์ยูเซ็ปเปเป็ปโปเน่ เรื่องราวความขัดแย้งของบุคคลทั้งสองเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลี หลวงพ่อดอนคามิลโลมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่ปรึกษา ขณะที่นายกเทศมนตรีมีสตาลินหนุนหลัง เรื่องราวที่ผู้เขียนนำเสนอผ่านคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย โดยมีหางเครื่องของแต่ละฝ่ายออกมาโลดแล่นบนเวที มีทั้งความเคียดแค้นชิงชัง ความรักความห่วงใย เสียดสีเยาะเย้ย ประเภทปากว่าตาขยิบ ไม่ว่าอุดมการณ์จะต่างกันอย่างไร ความเป็นเพื่อนเป็นญาติก็ไม่อาจตัดขาดจากกันจึงทำให้ตัวละครของทั้งสองฝ่ายสร้างความหฤหรรษ์ ให้กับท่านผู้อ่านได้อมยิ้มในความเปิ่นเชย จนถึงกับฮาแตกในบางมุขของเรื่องราวนำเสนอนี่สะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้จะขัดแย้งในเรื่องอุดมการณ์ใดๆแต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือเป้าหมายของอุดมการณ์นั้นมิได้แตกต่างกันเพียงแต่วิธีการนั้นต่างกัน แต่ความแตกต่างในอุดมการณ์ไม่ควรจะนำพาหางเครื่องของแต่ละฝ่ายต้องเป็นศัตรูกัน เข่นฆ่า กันจนถึงเลือดตกยางออก โลกใบเล็ก ของหลวงพ่อ ดอน คามิลโลมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับเรื่อง ไผ่แดงของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชโดยที่ท่านผู้แปลเรื่องนี้บอกว่าเหมือนยังกับแพะกับแกะ(เพราะเป็นคนละสปีซีส์กัน ) และยังบอกด้วยว่าจะไม่มีใครเขียนเรื่องความขัดแย้งระหว่างลัทธิการเมืองและศรัทธาในศาสนาได้งดงามเท่าไผ่แดงของอาจารย์คึกฤทธิ์และโลกใบเล็กของหลวงพ่อดอน คามิลโล ของท่าน โจวานนี กวาเรสกีได้อีกแล้วในโลกใบนี้ ลองหาอ่นเปรียบเทียบดูระหว่าง รสไทยๆกะปิปลาร้า กับรสนมเนยสปาเก็ตตี้ อันไหนจะแซ่บกว่ากัน

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

The DRAGON'SPEARL-มุกมังกร โดย สิรินทร์ พัธโนทัย

มุกมังกร (THE DRAGON'S PEARL )  เป็นเรื่องราวเบื้องหลังของความสัมพันธ์ ไทย-จีน ที่นับเนื่องจากปลายสมัยของรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ผ่านเรื่องราวของสองพี่น้องชายหญิง วรรณไว และสิรินทร์ พัธโนทัย โดยทั้งสองในวัย แปดขวบและสิบสามขวบ บิดาคือ สังข์ พัธโนทัย คนสนิทของจอมพลคนหัวปี ถูกส่งไปอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน เพื่อเป็นหลักประกันในนโยบายสานสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน โดยมอบคนทั้งสองให้อยู่ในความดูแลของ โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นของจีน  วัฒนธรรมประเพณีที่ต่างกัน รวมทั้ง ภูมิอากาศ ก็ต่างกัน ในขณะที่อายุยังน้อยมากแต่ต้องแบกภาระสานฝันของพ่อ ที่เล็งการณ์ไกลถึงสายสัมพันธ์และอนาคตของประเทศไทย-จีน ในขณะที่สงครามเย็นและการปิดล้อมจีนยังเป็นนโยบายหลักของอเมริกา ประเทศไทยในฐานะมิตรผู้ซื่อสัตย์ซึ่งเป็นประเทศเล็กกว่าต้องดำเนินนโยบาย ตามก้นอเมริกา ทั้งๆที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่ไม่เห็นด้วยก็ใช้นโยบายตีสองหน้า ที่เห็นด้วยก็ทุ่มตัวสุดจิตสุดใจเป็นสมุนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์และได้รับเศษกระดูกตอบแทนเป็นอำนาจ ที่มีหลักประกัน แต่ถ้าวันใดส่งกระแสแปรพักตร์ก็จะถูกโค่นล้มในเร็ววัน ในอดีตอเมริกันก็คือตัวแสบที่คอยโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามาจากการเลือกตั้ง และสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหาร เพิ่งจะไม่กี่ปีมานี่เองที่ทำตัวเป็นตำรวจโลกอ้างความเป็นประชาธิปไตยเที่ยวแทรกแซงประเทศอื่นๆในข้อหาไม่เป็นประชาธิปไตย เรื่องราวของ วรรณไว และสิรินทร์ เป็นบันทึกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ระหว่างความสัมพันธ์ไทย-จีนที่ก่อตัวมายาวนาน จนมาสัมฤทธิ์ผลในสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธฺ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี หลังยุค 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งประชาชนได้ลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดิ์อเมริกา และนโยบายของอเมริกาเริ่มเปลี่ยนหลังจากพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม รวมทั้งถูกกดดันจากรัฐสภาในเรื่องงบประมาณ และพลังการต่อต้านของขบวนการประชาชนชาวอเมริกันเอง ที่ไม่ต้องการไปรบเวียดนามรวมทั้งพ่อแม่ที่ไม่ต้องการให้ลูกชายของพวกเขาไปตายในเวียดนาม รวมทั้งดารา นักร้อง ศิลปิน คนดังในวงการต่าง และทีขาดไม่ได้คือขบวนบุปผาชน หรือฮิปป๊้ ที่มีม็อตโต้ อันลือลั่นว่า SEX NOT WAR  บันทึกนี้ทำให้รู้ตื้นลึกหนาบางของความสัมพันธ์ของบุคคลที่มีอำนาจทั้งในรัฐบาลไทย และจีน ซึ่งเป็นระดับความสัมพันธ์ที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ได้รู้เห็นพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ว่าสังคมไหน ไทยหรือจีน ที่ตีสองหน้าเพื่อความอยู่รอดและเป็น โดยสันดาน ภาพสะท้อนให้เห็นถึงความชั่วร้ายของอำนาจที่มาจากการเมือง ที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร  ภาพเหตุการณ์ความยุุ่งเหยิงในจีนช่วงปฎิวัติวัฒนธรรม รวมถึงผลกระทบที่ผู้เขียนได้ประสบพร้อมครอบครัว การพลัดพรากการต้องไปอยู่ในจีนตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าจะเป็นโดยเหตุผลที่เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ ไทย-จีน ตามกล่าวอ้างหรือไม่ แต่คุณูปการณ์ของสองพี่น้องก็ได้สร้างสะพานสานสัมพันธ์ ไทย-จีน จนได้ในที่สุด ก็ได้ปรากฎเป็นรูปธรรมประจักษ์แก่สายตาคนไทย บันทึกนี้ยังทำให้ผู้อ่านได้รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของผู้มีอำนาจ และการสูญเสียอำนาจ
เหมือนบทกวีที่ว่า ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า  ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ  ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป และสัจจธรรมก็ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเบื้องหลังอำนาจคืออาชญากรรม และท้ายสุดไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็หนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ ที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และที่สุดก็ดับไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรยศตำแหน่งใหญ่สักเพียงไหน  ขอเป็นเพียง" เป็นมนุษย์ก่อนเป็นอื่น" (จากวาทะของ เดวิด เธอโร )  ก็พอ